เมนู

แล้วหนอซึ่งลูกศร คือ ความโศกอันเสียบแทง
แล้วที่หทัยของเรา เราเป็นผู้มีลูกศร คือ ความ
โศกอันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้เย็น สงบแล้ว เราจะ
ไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้อีก เพราะได้ฟังคำของเธอ
ชนเหล่าใดผู้มีปัญญา ผู้อนุเคราะห์กันและกัน
ชนเหล่านั้นย่อมทำอย่างนี้ ย่อมยังกันและกัน
ให้หายโศก เหมือนเจ้าชายฆฏะยังพระเชษฐาให้
หายโศกฉะนั้น พวกอำมาตย์ผู้เป็นบริจาริกาของ
พระราชาใด เป็นเช่นนี้ ย่อมแนะนำด้วยสุภาษิต
เหมือนเจ้าชายฆฏะแนะนำพระเชษฐาของตน
พระราชานั้นจะมีความโศกมาแต่ไหน.

จบ กัณหเปตวัตถุที่ 6

อรรถกถากัณหเปตวัตถุที่ 6



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภอุบาสกคนหนึ่งลูกตาย จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า อุฏฺเฐหิ กณฺห กึ เสสิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี ยังมีบุตรของอุบาสกคนหนึ่ง
ทำกาละแล้ว. อุบาสกนั้น เพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือ ความ
เศร้าโศก เพราะการตายของลูกนั้น ไม่อาบน้ำ ไม่กินข้าว ไม่
จัดแจงการงาน ไม่ไปยังที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า บ่นเพ้ออย่างเดียว

พลางกล่าวว่า พ่อ เป็นลูกที่รัก เจ้า ละทิ้งพ่อไปไหนเสียก่อน.
ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัย
แห่งโสดาปัตติผล ของอุบาสกนั้น รุ่งขึ้นแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์
เสด็จไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ทรงเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว
จึงทรงส่งภิกษุทั้งหลายไป ส่วนพระองค์มีพระอานนทเถระเป็น
ปัจฉาสมณะ ได้เสด็จไปยังประตูเรือนของอุบาสกนั้น คนทั้งหลาย
จึงได้แจ้งแก่อุบาสกว่า พระศาสดาเสด็จมาถึงแล้ว. ลำดับนั้น
คนในเรือนของอุบาสกนั้น จึงพากันตบแต่งเสนาสนะที่ประตู
เรือน แล้วนิมนต์พระศาสดาให้ประทับนั่ง ประคองุบาสกพาเข้า
ไปเฝ้าพระศาสดา. พระศาสดาทรงเห็นเธอนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง
จึงตรัสถามว่า อุบาสก ท่านเสียใจอะไรหรือ ? เมื่ออุบาสกกราบทูล
ให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า อุบาสก โปราณกบัณฑิตทั้งหลาย ฟัง
ถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ไม่เศร้าโศกถึงบุตรที่ตายไป
ดังนี้แล้ว อันอุบาสกนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า :-
ในอดีตกาล ในกรุงทวารวดี มีพระราชาพี่น้องกัน 10 คน
คือ พระเจ้าวาสุเทพ พลเทพ จันทเทพ สุริยเทพ อัคคิเทพ
วรุณเทพ อัชชุนเทพ ปัชชุนเทพ ฆฏบัณฑิตเทพ และอังกุรเทพ.
ในเจ้าเหล่านั้น โอรสผู้เป็นที่รักของวาสุเทพมหาราช ได้ทิวงคตลง.
เพราะเหตุนั้น พระราชา จึงถูกความเศร้าโศกครองงำ ทรงละ
พระราชกรณียกิจทุกอย่าง ยึดแม่แคร่เตียง ทรงบรรทมบ่นเพ้อไป.
ในเวลานั้น ฆฏบัณฑิตเทพ ทรงพระดำริว่า เว้นเราเสียคนอื่น

ใครเล่า ที่ชื่อว่า สามารถจะหลีกเลี่ยงความเศร้าโศกพี่ชายเรา
ย่อมไม่มี เราจะขจัดความเศร้าโศกของพี่ชายเราด้วยอุบาย.
ท่านฆฏบัณฑิต จึงแปลงเพศเป็นคนบ้า แหงนดูอากาศ เที่ยวไปทั่ว
พระนครพลางกล่าวว่า ท่านจงให้กระต่ายแก่เรา ท่านจงให้กระต่าย
แก่เราเถิด. ชาวพระนครทั้งสิ้น พากันแตกตื่นว่า ฆฏบัณฑิตเป็นบ้า
เสียแล้ว.
เวลานั้น อำมาตย์ชื่อว่า โรหิไณยไปเฝ้าพระเจ้าวาสุเทพ
เมื่อจะสั่งสนทนากับพระเจ้าวาสุเทพ จึงกล่าวคาถานี้ว่า:-
ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหโคตร ขอพระองค์
จงลุกขึ้นเถิด จักมัวบรรทมอยู่ทำไม จะมีประ-
โยชน์อะไรแก่พระองค์ ด้วยการบรรทมอยู่เล่า
ข้าแต่พระเกสวะ บัดนี้ พระภาดาร่วมอุทรของ
พระองค์ผู้เป็นดุจพระทัย และนัยน์เนตรเบื้องขวา
ของพระองค์ มีลมกำเริบคลั่งเพ้อถึงกระต่าย.

บรรดาบทเหล่านั้น อำมาตย์เรียกพระเจ้าวาสุเทพ โดย
พระโคตรว่า กัณหะ. บทว่า โก อตฺโถ สุปเนน เต ได้แก่ ความ
เจริญอะไร จะมีแก่พระองค์ด้วยการบรรทม. บทว่า สโก ภาตา
ได้แก่ พระภาดาร่วมอุทร. บทว่า หทยํ จกฺขุ จ ทกฺขิณํ ความว่า
เสมือนกับดวงหทัย และพระเนตรเบื้องขวา. บทว่า ตสฺส วาตา
พลียนฺติ
ความว่า ลมบ้าหมู เกิดแก่พระภาดาร่ำไป มีกำลังแรง
กำเริบ ครอบงำ. บทว่า สสํ ชปฺปติ ความว่า บ่นเพ้อว่า จงให้

กระต่ายแก่เราเถิด. ด้วยบทว่า เกสวะ ได้ยินว่า ฆฏบัณฑิตนั้น
เขาเรียกว่า เกสวะ เพราะมีผมงาม เพราะเหตุนั้น เขาจึงเรียก
พระองค์โดยพระนาม.
พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงความที่พระเจ้าวาสุเทพ ได้
สดับคำของอำมาตย์นั้นแล้ว เสด็จลุกขึ้นจากที่บรรทม พระองค์
เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง จึงตรัสคาถานี้ว่า :-
พระเจ้าเกสวะ ได้สดับคำของโรหิไณย-
อำมาตย์นั้นแล้ว ผู้ถูกความเศร้าโศกถึงพระภาดา
ครอบงำ ก็รีบเสด็จลุกขึ้นทันที.

พระราชา เสด็จลุกขึ้นแล้ว รีบลงจากปราสาท แล้วเสด็จไป
หาฆฏบัณฑิต จับมือทั้ง 2 ของฆฏบัณฑิตไว้มั่น เมื่อจะเจรจากับ
ท่าน จึงกล่าวคาถา 3 คาถาว่า :-
เหตุไรหนอ เธอจึงทำตัวเหมือนคนบ้า
เที่ยวไปทั่วนครทวารกะนี้ บ่นเพ้อว่า กระต่าย
กระต่าย เธอปรารถนากระต่ายเช่นไร ฉันจะให้
นายช่างทำกระต่ายทองคำ กระต่ายแก้วมณี กระ
ต่ายโลหะ กระต่ายเงิน กระต่ายสังข์ กระต่าย
สิลา กระต่ายแก้วประพาฬ ให้แก่เธอ หรือกระ-
ต่ายอื่นที่เที่ยวหากินอยู่ในป่าก็มีอยู่ ฉันจะให้เขา
นำกระต่ายเหล่านั้นมาให้แก่เธอ เธอปรารถนา
กระต่ายเช่นไรเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุมฺมตฺตรูโปว แปลว่าเป็นเหมือน
คนบ้า. บทว่า เกวลํ แปลว่า ทั้งสิ้น. บทว่า ทฺวารกํ ได้แก่เที่ยวไป
ตลอดทวารวดีนคร. บทว่า สโส สโสติ ลปสิ ความว่า บ่นเพ้อว่า
กระต่าย กระต่าย. บทว่า โสวณฺณมยํ แปลว่า สำเร็จด้วยทองคำ.
บทว่า โลหมยํ แปลว่า สำเร็จด้วยโลหะทองแดง. บทว่า รูปิยมยํ
แปลว่า สำเร็จด้วยเงิน. ท่านปรารถนาสิ่งใด ก็จงบอกมาเถอะ.
เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอเศร้าโศก เพราะอะไร. พระเจ้าวาสุเทพเชื้อเชิญ
ฆฏบัณฑิตด้วยกระต่ายว่า กระต่ายแม้เหล่าอื่น ที่เที่ยวหากินอยู่
ในป่าก็มีอยู่ในป่า เราจักนำกระต่ายนั้นมาให้แก่เธอ เจ้า ผู้มีหน้า
อันเจริญ เธอปรารถนากระต่ายเช่นไร ก็จงบอกมาเถอะ ดังนี้
ด้วยความประสงค์ว่าฆฏบัณฑิต ต้องการกระต่าย. ฆฏบัณฑิต
ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาว่า :-
ข้าพระองค์ ไม่ปรารถนากระต่ายที่อาศัย
อยู่บนแผ่นดิน ข้าพระองค์ปรารถนากระต่ายจาก
ดวงจันทร์ ข้าแต่พระเจ้าเกสวะ ขอพระองค์โปรด
นำกระต่ายนั้นมาประทานแก่ข้าพระองค์เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอหร แปลว่า โปรดให้นำลงมา.
พระราชาครั้นทรงสดับดังนั้นจึงถึงความโทมนัสว่า พระภาดา
ของเราเป็นบ้าเสียแล้ว โดยมิต้องสงสัย จึงตรัสคาถาว่า :-

ดูก่อน พระญาติ เธอจักละชีวิตอันสดชื่น
ไปเสียเป็นแน่ เพราะเธอปรารถนากระต่ายจาก
ดวงจันทร์ ชื่อว่า ปรารถนาสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา.
พระเจ้าเกสวะตรัสเรียกน้องชายว่า ญาติ ในพระคาถานั้น.
ในพระคาถานี้มีอธิบายดังนี้ว่า :- ญาติกันเป็นที่รักของเราผู้
ปรารถนาสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เห็นจะละชีวิตอันน่ารื่นรมย์ยิ่ง
ของตนเสียเป็นแน่.
ฆฏบัณฑิตได้ฟังพระดำรัสของพระราชาก็ได้ยืนนิ่งเสีย เมื่อ
จะแสดงความนี้ว่า ข้าแต่พี่ชาย พระองค์เมื่อรู้ว่า หม่อมฉันปรารถนา
กระต่ายจากดวงจันทร์ ครั้นไม่ได้กระต่ายนั้น จักสิ้นชีวิต เพราะ
เหตุไร พระองค์ไม่ได้โอรสที่ตายไปแล้วจึงเศร้าโศกถึง จึงกล่าว
คาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหโคตร ถ้าพระองค์
ทรงพร่ำสอนผู้อื่นอย่างที่ทรงทราบไซร้ เพราะ
เหตุไร แม้ทุกวันนี้พระองค์ก็ยังทรงเศร้าโศก
ถึงบุตรที่ตายแล้ว ในกาลก่อนเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เจ กณฺห ชานาสิ ความว่า
ข้าแต่ท้าวกัณหมหาราชผู้พี่ชาย ผิว่า พระองค์ทรงทราบอย่างนี้ว่า
ชื่อว่า วัตถุที่ไม่พึงได้ ก็ไม่พึงปรารถนา. บทว่า ยถญฺญํ ความว่า
ท่านพอรู้อย่างนี้ อย่าได้กระทำโดยประการที่ท่านพร่ำสอนผู้อื่น.
บทว่า กสฺมา ปุเร มตํ ปุตฺตํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร

แม้ในวันนี้ ท่านก็ยังเศร้าโศกถึงบุตรที่ตายไป ในที่สุด 4 เดือน
แต่เดือนนี้.
ฆฏบัณฑิต ยืนอยู่ที่ระหว่างถนนอย่างนั้นแล ทูลว่า อันดับแรก
หม่อมฉันปรารถนาสิ่งที่ปรากฏอยู่อย่างนี้ ส่วนพระองค์เศร้าโศก
เพื่อต้องการสิ่งที่ไม่ปรากฏ เมื่อจะแสดงธรรมแก่พระราชา จึง
กล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
ก็มนุษย์ หรืออมนุษย์ ไม่พึงได้ตาม
ปรารถนาว่า ขอบุตรของเราที่เกิดมาจงอย่าตาย
เลย พระองค์จะพึงได้โอรสที่ทิวงคตแล้ว ที่ไม่
ควรได้แต่ที่ไหน. ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหะโคตร
พระองค์ทรงกันแสงถึงโอรสที่ทิวงคตแล้ว ซึ่ง
ไม่สามารถจะนำคืนมาด้วยมนต์ รากยา โอสถ
หรือทรัพย์ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ความว่า ดูก่อนพี่ชาย มนุษย์
หรือว่า เทวดา ไม่พึงได้ คือไม่อาจได้ตามที่พระองค์ปรารถนาว่า
ของบุตรของเรา ผู้เกิดมาอย่างนี้แล้ว อย่าตายไปเลย. อธิบายว่า ก็
ความปรารถนานั้น ท่านจะได้แต่ที่ไหน คือ ท่านอาจจะได้ด้วย
เหตุไร เพราะเหตุที่ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่ควรได้นี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควร
จะได้.
บทว่า มนฺตา แปลว่า ด้วยการประกอบมนต์. บทว่า
มูลเภสชฺชา แปลว่า ด้วยรากยา. บทว่า โอสเธหิ ได้แก่ โอสถ

นานาชนิด. บทว่า ธเนน วา ได้แก่ แม้ด้วยทรัพย์นับได้ร้อยโกฏิ.
ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า ใคร ๆ ไม่อาจจะนำโอรสผู้ละไป
แล้ว ที่พระองค์ทรงเศร้าโศกถึงนั้นมา ด้วยการประกอบมนต์เป็นต้น
อย่างนั้น.
ฆฏบัณฑิต เมื่อจะแสดงอีกว่า ข้าแต่พี่ชาย ขึ้นชื่อว่า ความ
ตายนี้ ใคร ๆ ไม่อาจจะห้ามได้ ด้วยทรัพย์ ด้วยชาติ ด้วยวิชชา
ด้วยศีล หรือด้วยภาวนาได้ จึงแสดงธรรมแด่พระราชาด้วยคาถา
5 คาถาว่า :-
กษัตริย์ทั้งหลาย แม้จะมีแว่นแคว้น มี
ทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทรัพย์และธัญญาหาร
มาก จะไม่ทรงชรา จะไม่ทรงสวรรคต ไม่มีเลย.
กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คน
จัณฑาล และคนเทหยากเยื่อ และคนอื่น ๆ จะ
ไม่แก่ จะไม่ตาย เพราะชาติของตน ก็ไม่มีเลย
ชนเหล่าใด ร่ายมนต์อันประกอบด้วยองค์
6 อันพราหมณ์คิดไว้แล้ว ชนเหล่านั้นและชน
เหล่าอื่นจะไม่แก่ และไม่ตาย เพราะวิชาของตน
ก็ไม่มีเลย.
แม้พวกฤาษีเหล่าใด เป็นผู้สงบ มีตน
สำรวมแล้ว มีตปะ แม้พวกฤาษี ผู้มีตปะเหล่านั้น
ย่อมละร่างกายไปตามกาล

พระอรหันต์ทั้งหลาย มีตนอันอบรมแล้ว
ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ สิ้นบุญและบาป ยัง
ทอดทิ้งร่างกายนี้ไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหทฺธนา ได้แก่ ชื่อว่า ผู้มีทรัพย์
มาก เพราะมีทรัพย์ที่ฝังไว้นั่นแหละมาก. บทว่า มหาโภคา ได้แก่
ประกอบด้วยโภคสมบัติมาก เช่นกับโภคสมบัติของเทพ. บทว่า
รฏฐวนฺโต แปลว่า มีแว่นแคว้นมาก. บทว่า ปหูตธนธญฺญาเส
ได้แก่ ผู้มีทรัพย์และธัญญาหาร หาที่สุดมิได้ โดยทรัพย์และธัญญา-
หาร ซึ่งจะต้องใช้จ่ายเป็นประจำ ที่เก็บฝังไว้ เพื่อใช้ได้ถึง 3 ปี
หรือ 4 ปี บทว่า เตปิ โน อชรามรา ความว่า กษัตริย์มีพระเจ้า
มันธาตุ และพระเจ้ามหาสุทัสสนะ เป็นต้น ผู้มีสมบัติมากถึงอย่างนั้น
จะเป็นผู้ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีเลย คือ ตั้งอยู่ใกล้ปากมรณะ โดยแท้
ทีเดียว.
บทว่า เอเต ได้แก่ กษัตริย์ตามที่กล่าวแล้ว เป็นต้น. บทว่า
อญฺเญ ได้แก่ ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีอัมพัฏฐะมาณพเป็นต้น
ผู้เป็นอยู่อย่างนั้น. บทว่า ชาติยา ความว่า เป็นผู้ไม่แก่ ไม่ตาย
ไม่มีเลย เพราะชาติของตนเป็นเหตุ.
บทว่า มนฺตํ ได้แก่เวท. บทว่า ปริวตฺเตนฺติ แปลว่า ย่อม
สาธยาย และย่อมบอก, อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริวตฺเตนฺติ ได้แก่
ร่ายเวททำการบูชาเพลิง พร้อมพร่ำมนต์ไปด้วย. บทว่า ฉฬงฺคํ
ได้แก่ออกเสียงอ่านถูกจังหวะ คล่อง และไพเราะ กัปปะ ได้แก่

รู้จักแบบแผนทำกิจวิธีต่าง ๆ นิรุตติ ได้แก่ รู้จักมูลศัพท์ และ
คำแปลศัพท์ ไวยากรณ์ ได้แก่ รู้จักตำราภาษา โชติศาสตร์ ได้แก่
รู้จักดาวหาฤกษ์ และผูกดวงชะตา ฉันโทวิจิติ ได้แก่ รู้จักคณะฉันท์
และแต่งได้. บทว่า พฺรหฺมจินฺติตํ ได้แก่ พรหมคิด คือกล่าวเพื่อ
ประโยชน์แก่พวกพราหมณ์. บทว่า วิชฺชาย ได้แก่ ผู้ประกอบด้วย
วิชาเสมือนพรหม, อธิบายว่า แม้ท่านเหล่านั้น จะไม่แก่ ไม่ตาย
ไม่มีเลย.
บทว่า อิสโย ความว่า ชื่อว่าฤาษี เพราะอรรถว่า แสวงหา
พรตที่ประพฤติประจำ และพรตที่ประพฤติตามกาลกำหนดเป็นต้น
และปฏิกูลสัญญา เป็นต้น. บทว่า สนฺตา ได้แก่ สงบกายวาจา
เป็นสภาวะ. บทว่า สญฺญตตฺตา ได้แก่ มีจิตสำรวม ด้วยการสำรวม
กิเลส มีราคะเป็นต้น. ชื่อว่า ตปัสสี เพราะมี ตปะ กล่าวคือ ทำกาย
ให้เร่าร้อน. อนึ่ง บทว่า ตปสฺสิโน แปลว่า ผู้สำรวม. ด้วยคำว่า
ตปสฺสิโน นั้น ท่านแสดงว่า เป็นผู้อาศัยตปะอย่างนั้น และเป็น
ผู้ปรารถนา เพื่อจะหลุดพ้นจากสรีระ ก็เป็นผู้สำรวม ย่อมละ
สรีระได้ทีเดียว. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิสโย ชื่อว่า อิสยะ เพราะ
อรรถว่า แสวงหาอธิสีลสิกขาเป็นต้น, ชื่อว่า ผู้สงบ เพราะเข้าไป
สงบบาปธรรม อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออธิสีลสิกขานั้น ก็เพื่อประโยชน์
แก่อธิสีลสิกขานั้น. ชื่อว่า มีตนสำรวมแล้ว เพราะสำรวมจิตไว้
ในอารมณ์อันเดียวกัน ชื่อว่า ตปัสสี เพราะมีความเพียรเครื่อง
เผาบาป โดยประกอบความเพียรชอบ. บัณฑิตพึงประกอบความว่า

ที่มีความเพียรเป็นเครื่องประกอบ ชื่อว่า ตปัสสี เพราะทำกิเลส
มีราคะเป็นต้น ให้เร่าร้อน. บทว่า ภาวิตฺตตา ได้แก่ ผู้มีจิตอันอบรม
แล้ว ด้วยกัมมัฏฐานภาวนา อันมีสัจจะ 4 เป็นอารมณ์.
เมื่อฆฏบัณฑิตกล่าวธรรมอย่างนี้ พระราชาได้ทรงสดับ
ดังนั้น เป็นปราศจากลูกศรคือความโศก มีใจเลื่อมใส เมื่อจะ
สรรเสริญฆฏบัณฑิต จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า
เธอดับความกระวนกระวายทั้งปวงของ
เราผู้เร่าร้อนให้หายไป เหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟ
ที่ราดด้วยน้ำมัน ฉะนั้น เธอบรรเทาความโศก
ถึงบุตรของเรา ผู้ถูกความโศกครอบงำ ได้ถอน
ขึ้นแล้วหนอ ซึ่งถูกศรคือความโศกอันเสียบแทง
ที่หทัยของเรา เราเป็นผู้มีลูกศรคือความโศก
อันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้เย็นสงบแล้ว เราจะไม่
เศร้าโศก ไม่ร้องไห้อีก เพราะได้ฟังคำของเธอ
ชนเหล่าใดผู้มีปัญญา ผู้อนุเคราะห์กันแลกัน
ชนเหล่านั้น ย่อมทำอย่างนี้ ย่อมยังกันและกัน
ให้หายโศก เหมือนเจ้าชายฆฏบัณฑิตทำพระ-
เชษฐา ให้หายโศก ฉะนั้น

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆโฏ เชฏฺฐํ ว ภาตรํ ความว่า
เหมือนฆฏบัณฑิต ทำพระเชษฐาของตน ผู้ถูกความเศร้าโศก เพราะ
บุตรตายไปครอบงำ ให้พ้นจากความเศร้าโศกเพราะบุตรนั้น ด้วย

ความที่ตนเป็นผู้ฉลาดในอุบาย และด้วยธรรมกถา ฉันใด แม้ผู้อื่น
ผู้มีปัญญา มีความอนุเคราะห์ก็ฉันนั้น ย่อมกระทำอุปการะแก่ญาติ
ทั้งหลาย.
บทว่า ยสฺส เอตาทิสา โหนติ นี้ เป็นคาถาแห่งพระองค์
ผู้ตรัสรู้ยิ่ง. คำแห่งคาถานั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ฆฏบัณฑิต ย่อม
ไปตาม คือติดตาม พระเจ้าวาสุเทพ ผู้อันความเศร้าโศก เพราะ
บุตรครอบงำ ด้วยคำอันเป็นสุภาษิต เพื่อกำจัดความเศร้าโศก
ด้วยประการใด คือ ด้วยเหตุใด. อำมาตย์ เป็นบัณฑิต ก็เช่นนั้น
อันผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงได้ ความเศร้าโศกของท่านจักมีแต่ที่ไหน
ฉะนี้แล. คาถาที่เหลือ มีอรรถดังกล่าวแล้ว ในหนหลังนั่นแล.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึง
ตรัสว่า อย่างนั้นอุบาสก โปราณกบัณฑิตทั้งหลาย ฟังถ้อยคำของ
บัณฑิตทั้งหลายแล้ว ขจัดความเศร้าโศกเพราะบุตรเสียได้ ดังนี้แล้ว
จงประกาศสัจจะประชุมชาดก. ในที่สุดสัจจะ อุบาสกดำรงอยู่
ในโสดาปัตติผลแล.
จบ อรรถกถากัณหเปตวัตถุที่ 6

7. ธนปาลเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตหิว 55 ปี



พวกพ่อค้าถามเปรตตนหนึ่งว่า
[104] ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด
ผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง
แน่ะเพื่อนยาก ท่านเป็นใครหนอ.

เปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็น
เปรต ทุกข์ยาก เกิดอยู่ในยมโลก ได้ทำกรรมอัน
ลามกไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.

พวกพ่อค้าถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกายวาจาใจ
หรือ เพราะวิบากแห่งอะไร ท่านจึงจากโลกนี้ไป
สู่เปตโลก.

เปรตนั้นตอบว่า
มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช ปรากฏ
นานว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีอยู่
ในนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาล-
เศรษฐี ข้าพเจ้ามีเงิน 80 เล่มเกวียน ทองคำ แก้ว-